วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โมบิลสูทกันดั้ม 0080

โมบิลสูทกันดั้ม 0080 (ญี่ปุ่น: 機動戦士ガンダム0080 ポケットの中の戦争 Kidō Senshi Gundamu 0080 (Gundam Double-O Eighty) Poketto no Naka no Sensō ) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น 1 ในซีรี่ส์ กันดั้ม ออกแบบตัวละครโดย ฮารุฮิโกะ มิกิโมโตะ ออกแบบโมบิลสูทโดย คุนิโอะ โอคาวาระ และร่วมออกแบบโดย ยูทากะ อิซุบุจิ ผลงานเรื่องนี้มี ฟูมิฮิโกะ ทากายามะ เป็นผู้กำกับ นับเป็นผลงานเรื่องแรกในซีรี่ส์กันดั้มที่ โยชิยูกิ โทมิโนะ ไม่ได้เป็นผู้กำกับ และถูกสร้างออกมาในรูปแบบโอวีเอ ออกวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1989 มีความยาวทั้งสิ้น 6 ตอนจบ



เนื้อเรื่อง
ในเดือนธันวาคม UC 0079 ช่วงปลายสงคราม 1 ปี สาธารณรัฐรีอา ของไซด์ 6 ที่ยังคงเป็นกลาง ได้เริ่มต้นการเจรจาสนธิสัญญาความปลอดภัยลับๆ กับฝ่ายพันธมิตร และยอมให้กองกำลังพันธมิตร ตั้งค่ายลับ อยู่บนโคโลนี่ ในระหว่างนั้น ที่ฐานลับของพันธมิตร บริเวณขั้วโลกเหนือ กำลังพัฒนาโมบิลสูทรุ่นใหม่ "กันดั้ม NT-1 อเล็กซ์" ที่ขั้วโลกเหนือ
หน่วยไซคลอปส์ กองกำลังพิเศษระดับสูงของซีออน ถูกส่งไปที่โลกเพื่อทำลายอาวุธลับที่พัฒนาอยู่ ณ ฐานทัพพันธมิตรบริเวณขั้วโลกเหนือ ร้อยเอกชไตเนอร์และลูกน้อง ได้เปิดฉากการโจมตีแบบสายฟ้าแลบทั้งทางบกและในน้ำ และยังทำลายระบบป้องกันภัยของฐานทั้งหมด แต่เป็นโชคดีของฝ่ายพันธมิตรที่สามารถส่ง กันดั้ม ขึ้นไปสู่ห้วงอวกาศได้ทันก่อนที่ะถูกหน่วยไซคลอปส์ทำลาย ภารกิจของชไตเนอร์ล้มเหลว และเขาสูญเสียเสียแอนดี้ 1 ในลูกน้องฝีมือดีไปขณะที่แอนดี้กำลังจะทำลายกระสวยที่บรรทุกกันดั้มนั้นเอง
ณ ไซด์ 6 โคโลนี่ลิโบ อัล หรือ อัลเฟรด อิซุรุฮะ หนุ่มน้อยวัย 11 ปี และเพื่อนของเขา ใช้เวลาว่างแทบทั้งหมดเพื่อที่จะเก็บสะสมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับทางทหารและโมบิลสูท
อัล พนันกับเพื่อนว่ามีโมบิลสูทของฝ่ายพันธมิตร อยู่บนโคโลนี่ และสัญญาว่าถ่ายถ่ายภาพมาให้ดู เนื่องจากพ่อของอัลทำงานอยู่ในบริษัทขนส่ง อัลจึงเข้าออก สถานีขนส่งของ ไซด์ 6 ได้อย่างง่ายดาย หลังจากกลับบ้าน อัลได้พบกับ คริส หรือ คริสติน่า แมคเคนซี่ นักบินทดสอบหญิงของฝ่ายพันธมิตร เพื่อนบ้านของอัลที่ไม่ได้เจอกันราว 3 ปี วันต่อมา เกิดการโจมตีที่ไซด์ 6 โดยฝ่ายซีออนได้เป็นผู้เปิดการโจมตี ระหว่างนั้น อัลได้พบกับ แซ็คเครื่องหนึ่งที่เสียหายและพยายามลงจอด เขาจึงวิ่งตามแซ็คเครื่องนั้นไป และพบกับ เบอร์นี่ หรือ เบอร์นาร์ด ไวส์แมน นักบินฝึกหัดของซีออน หลังจากที่อัลเห็นเครื่องหมายยศของเบอร์นี่ ด้วยความที่เขาเป็นเด็กที่ชื่นชอบทหารอยู่แล้ว เขาจึงขอแลกเครื่องหมายยศของเบอร์นี่กับ กล้องถ่ายวิดีโอของเขานั่นเอง
ที่ดวงจันทร์ หลังจากกองกำลังซีออนกลับมายังฐานกรานาด้า หน่วยไซคลอปส์ก็ได้ดูวิดีโอที่เบอร์นี่ได้มาจากอัล และพบว่าโมบิลสูทที่พวกเขาไล่ล่าที่ขั้วโลกเหนือนนั้น เป็นเครื่องเดียวกับที่ไซด์ 6
พันโทคิลลิ่ง จอมเจ้าเล่ห์ ได้ส่งหน่วยไซคลอปส์ไปยังไซด์ 6 เพื่อแทรกซึมและค้นหาโมบิลสูทเครื่องนั้น ซึ่งพวกเขาสงสัยว่าน่าจะเป็น กันดั้ม ที่ออกแบบมาให้นักบินนิวไทป์เป็นผู้ขับโดยเฉพาะ ชไตเนอร์ต้องการให้คิลลิ่งหานักบินฝีมือดีมาให้หน่วยไซคลอปส์ แทน แอนดี้ ที่ตายไปในภารกิจที่ขั้วโลกเหนือ แต่คิลลิ่งกลับบรรจุ เบอร์นี่ ซึ่งเป็นเพียงนักบินฝึกหัดให้แทน แต่ชไตเนอร์ก็อธิบายแผนการให้เบอร์นี่ฟัง พร้อมทั้งแนะนำให้เขารู้จักกับ มิฮาอิล คามินสกี้ หรือ มีชา และ กาเบรียล รามิเรซ การ์เซีย เพื่อนร่วมหน่วยของเขา
ขณะที่กองทัพซีออนกำลังโจมตีไซด์ 6 อยู่นั้น เบอร์นี่ได้นำยานขนส่งที่ซ่อนเคมป์เฟอร์ (Kaempfer) โมบิลสูท รุ่นใหม่ของซีออน ที่ยังไม่ได้ประกอบ เข้าเทียบท่าที่ท่าเทียบยานของไซด์ 6 ระหว่างที่หน่วยไซคลอปส์กำลังนำรถบรรทุกไปยังฐานลับของพวกเขา ระหว่างนั้นอัลเห็นเบอร์นี่ จึงแอบขึ้นรถบรรทุกของการ์เซีย แต่ก็พลาดตกลงมากลางทาง อัลจึงหันไปหาตำรวจ โดยโกหกว่าถูกรถชนแล้วหนี เพื่อให้ตำรวจตามหาที่อยู่ของพวกเบอร์นี่ให้ แต่เมื่อไปถึง อัลเห็นมีชาและการ์เซียกำลังทำท่าเหมือนจะลงมือสังหารตำรวจ อัลจึงแกล้งทำเป็นร้องไห้ และบอกกับตำรวจว่า ความจริงแล้วเขาเพียงแค่อยากจะมา เบอร์นี่ พี่ชายที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานเท่านั้นเอง แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เลยต้องโกหกตำรวจว่าโดนรถชน เพื่อที่ตำรวจจะได้พามา ซึ่งเบอร์นี่ก็ยอมเล่นละครไปกับอัลด้วย เพื่อตบตาตำรวจ
ช่วงกลางดึก หลังจากที่อัลกลับมาบ้าน คริสเห็นเบอร์นี่ซึ่งหน่วยไซคลอปส์ ส่งมาดูแลพฤติกรรมไม่ให้อัลปากโป้งไปบอกคนอื่นเกี่ยวกับแผนการของพวกเขา กำลังจะปีนเข้าบ้านอัล ทำให้คริสนึกว่าเป็นขโมย เลยเอาไม้เบสบอลตีหัวเบอร์นี่อย่างแรงจนสลบเหมือด แต่อัลก็อธิบายให้คริสฟังว่า เบอร์นี่เป็นพี่ชายต่างแม่ของเขา คริสรู้สึกผิดเลยชวนทั้งคู่ไปทานน้ำชาในบ้านกับครอบครัวของเธอ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คริสและเบอร์นี่ได้รู้จักกัน
วันรุ่งขึ้น หน่วยไซคอลปส์ คิดจะกำจัดเบอร์นี่และอัล โดยส่งพวกเขาไปสืบเรื่องกันดั้มในที่ซ่อนของฝ่ายพันธมิตร ในขณะที่ ชไตเนอร์นั้น รับข่าวสารที่ให้เบอร์นี่ไปสืบ จากสายลับของซีออน แต่แล้ว ชไตเนอร์ก็ต้องแปลกใจที่ไม่ได้เป็นไปตามคาด เบอร์นี่กับอัลทำภารกิจสำเร็จ และยังนำรูปถ่ายของกันดั้มกลับมาให้เขาอีกด้วย หลังจากจบภารกิจ เบอร์นี่พาอัลไปส่งที่บ้านแล้วบังเอิญเจอคริส ก่อนที่เบอร์นี่จะกลับ ทั้งคู่จึงกล่าวราตรีสวัสดิ์ต่อกัน
วันดีเดย์ของภารกิจ หน่วยไซคอลปส์ เตรียมการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆ ที่ ชไตเนอร์ รู้ว่าคิลลิ่งเพียงแค่ส่งพวกเขาไปตายเพื่อให้ยืนยันการมีอยู่ของกันดั้มเท่านั้น แต่ชไตเนอร์ก็ยังสานต่อภารกิจโดยไม่หยุด ขณะที่ มีชา ขับเคมป์เฟอร์ซึ่งประกอบเสร็จสิ้น ออกไปต่อสู้กับกองกำลังป้องกันโคโลนี่นั้น พวกชไตเนอร์ก็แทรกซึมเข้าไปในฐานของพันธมิตร อัลแอบตามพวกเขาเข้าไปในฐาน แต่สิ่งที่อัลได้เห็น กลับเป็นการต่อสู้ที่นองเลือด ชไตเนอร์ ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส การ์เซียจึงพลีชีพด้วยการระเบิดตัวเองเพื่อทำลายกันดั้ม แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ส่วนมีชาถูกสังหารโดยกันดั้มขณะที่เขากำลังต่อสู้อยู่ ภารกิจของหน่วยไซคลอปส์ ล้มเหลว และในที่สุด ชไตเนอร์ ก็เสียชีวิตในมือของเบอร์นี่
หลังจากที่หน่วยไซคลอปส์ ทำภารกิจล้มเหลว คิลลิ่งจึงตัดสินใจแก้ปัญหาโดยคิดที่จะใช้หัวรบนิวเคลียร์ทำลายกันดั้มไปพร้อมกับไซด์ 6 ซะ เมื่อเบอร์นี่รู้ว่าไซด์ 6 จะถูกทำลาย เขาเลยตัดสินใจที่จะทิ้งภารกิจและบอกอัลให้หนีไปซะ แต่อัลพยายามเตือนสติเบอร์นี่ และพยายามบอกตำรวจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ตำรวจไม่เชื่อ แต่แล้ว เบอร์นี่ก็เปลี่ยนใจที่จะกลับไปทำลายกันดั้ม เพื่อปกป้องไซด์ 6 อัลและเบอร์นี่ช่วยกันซ่อมแซ็คของเขาจนเสร็จ และช่วยกันวางแผนการรบ
เย็นวันคริสมาสต์อีฟ เบอร์นี่ได้ให้เทปบันทึกม้วนหนึ่งแก่อัล และกล่าว Merry Christmas แก่อัล และยังฝากถึง คริสและครอบครัวของคริสด้วย หลังจากนั้นเบอร์นี่ก็ใช้เวลาเตรียมตัวสำหรับศึกวันพรุ่งนี้



วันคริสมาสต์ อัลและแม่ไปที่ท่าเทียบยาน เพื่อรอรับพ่อที่ได้เดินทางกลับมาบ้าน ระหว่างทาง อัลได้ยินจากพ่อว่า กองยานของซีออนที่บรรทุกหัวรบนิวเคลียร์มา ได้ถูกกองกำลังฝ่ายพันธมิตร โจมตีจนยอมจำนนแล้ว พออัลได้ยินดังนั้น ก็รีบวิ่งออกไปเพื่อบอกเบอร์นี่ว่าไม่มีความจำเป็นต้องสู้กับกันดั้มอีกแล้ว ขณะที่เบอร์นี่ได้ขึ้นไปบังคับแซ็คของเขา เพื่อที่จะล่อกันดั้มไปเขตป่านอกเมือง แต่ทว่า อัลก็มาช้าไป ทั้งกันดั้มและแซ็ค ต่างก็ทำลายซึ่งกันและกัน ภาพที่ปรากฏต่อหน้าอัลคือ กันดั้มที่ไร้หัว แทงบีมเซเบอร์เข้าไปในค็อกพิทของแซ็ค เบอร์นี่เสียชีวิตในหน้าที่ หน่วยแพทย์ของพันธมิตรพบว่าอัลกำลังช็อค จึงพาตัวอัลไปยังแคมป์พยาบาล แต่ในขณะที่ทีมแพทย์ได้นำตัวนักบินของกันดั้มที่บาดเจ็บจนหมดสติลงมา อัลก็ได้เห็นสิ่งที่แทบไม่อยากเชื่อสายตา เพราะนักบินคนนั้นคือ คริส นั่นเอง
2-3 สัปดาห์ต่อมา สงครามสิ้นสุดลงแล้ว อัลเปิดดูเทปที่เบอร์นี่ให้เขามา ในเทปนั้น เบอร์นี่กล่าวไว้ว่า ถ้าหากอัลได้ดูเทปม้วนนี้ เขาอาจจะตายไปแล้ว แต่เขาไม่อยากให้อัลโทษนักบินของกันดั้ม หรือฝ่ายพันธมิตร เพราะพวกเขาล้วนแต่ทำสิ่งที่คิดว่าถูกต้องที่สุด และถ้าสงครามสิ้นสุดแล้วเขารอดตาย เขาสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมอัลที่ไซด์ 6 แน่นอน
ในระหว่างที่อัลไปโรงเรียน อัลเจอกับคริสในสภาพใส่เฝือกที่แขนอยู่ เธอบอกอัลว่า เธอต้องกลับไปที่โลกแล้ว และฝากลาเบอร์นี่ด้วย พออัลถึงโรงเรียนของเขาที่เสียหายจากการต่อสู้ระหว่างกันดั้มและเคมป์เฟอร์ ครูใหญ่กล่าวถึงผู้ที่สูญเสียในสงครามว่า พวกเขาทุกคนเป็นผู้ที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ น้ำตาของอัลเริ่มร่วงโรย เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่รู้ซึ้งถึงความโหดร้ายของสงครามโดยแท้จริง


ตัวละคร
ฝ่ายพันธมิตร
- คริสติน่า แมคเคนซี่ (คริส) (พากย์เสียงโดย เมงุมิ ฮายาชิบาระ)
- สจ๊วร์ต (พากย์เสียงโดย เคน โกโต้)
- ดิ๊ค ลัมน์บา (พากย์เสียงโดย ฮิโรชิ มาสุโอกะ)
ฝ่ายซีออน
- เบอร์นาร์ด ไวส์แมน (เบอร์นี่) (พากย์เสียงโดย โคจิ สึจิทานิ)
- ชไตเนอร์ ฮาร์ดี้ (พากย์เสียงโดย โยสุเกะ อากิโมโตะ)
- กาเบรียล รามิเรซ การ์เซีย (พากย์เสียงโดย บิน ชิมาดะ)
- มิฮาอิล คามินสกี้ (มีชา) (พากย์เสียงโดย ยูทากะ ชิมากะ)
- แอนดี้ สตรอส (พากย์เสียงโดย มิตสึอากิ โฮชิโนะ)
- คิลลิ่ง (พากย์เสียงโดย โคจิ โททานิ)
- ฟอน เฮลซิ่ง (พากย์เสียงโดย มาซาโตะ ฮิราโนะ)
- ลูเกนธ์ (พากย์เสียงโดย โนบุยูกิ ฟุรุตะ)
พลเรือน
- อัลเฟรด อิซุรุฮะ (อัล) (พากย์เสียงโดย ไดสุเกะ นามิคาวะ)
- อีมส์ อิซุรุฮะ (พากย์เสียงโดย จุน ฮาซุมิ)
- มิจิโกะ อิซุรุฮะ (พากย์เสียงโดย ไอ โอริคาสะ)
- เชย์ (พากย์เสียงโดย โทโมโกะ มารุโอะ)
- เทลคอตต์ (พากย์เสียงโดย เคน ซูซูกิ)
- โดโลเรส เฮย์ส (โดโรธี) (พากย์เสียงโดย โคนามิ โยชิดะ)
- ชาร์ลี (พากย์เสียงโดย มิโนรุ อินาบะ)

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โมบิลสูทกันดั้ม : ชาร์ เคาน์เตอร์ แอทแทค

โมบิลสูทกันดั้ม : ชาร์ เคาน์เตอร์ แอทแทค (ญี่ปุ่น: 機動戦士ガンダム 逆襲のシャア คิโดเซนชิ กันดั้ม เกียคุชู โนะ ชาร์ ; อังกฤษ: Mobile Suit Gundam Char's Counter Attack) เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันซึ่งออกฉายเป็นครั้งแรกในโรงภาพยนตร์ของประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1988 และเป็นแอนิเมชันกันดั้มเรื่องแรกที่สร้างขึ้นเพื่อฉายในโรงภาพยนตร์โดยเฉพาะ (แอนิเมชันกันดั้มเรื่องต่อมาที่สร้างขึ้นเพื่อฉายในโรงภาพยนตร์คือ โมบิลสูทกันดั้ม F91 ซึ่งออกฉายในญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 1991) โดยเป็นผลงานกำกับของ "โยชิยูกิ โทมิโนะ" บุคคลซึ่งถือว่าเป็นบิดาของกันดั้ม ผู้มีชื่อเล่นตามเว็บไซต์ของฝั่งอเมริกาว่า "ฆ่ามันให้เหี้ยน โทมิโนะ" เนื่องจากงานส่วนใหญ่ของเขามักจะให้ตัวละครตายอย่างไม่ปราณีคนดู

เนื้อเรื่อง

สาธารณรัฐซีออนที่ซึ่งกำลังอ่อนแอเนื่องจากเสียผู้นำไปจากครั้งการก่อกบฏในซีออนนั้น ได้รับการจุดประกายความหวังอีกครั้งเมื่อชายที่ชื่อ ชาร์ อัสนาเบิ้ล ซึ่งแท้จริงแล้วเขาคือ "แคสวัล เลม ไดคุน" ผู้สืบทอดของซีออนที่แท้จริงได้ปรากฏตัวขึ้นมาและนำกองทัพนีโอ ซีออน บุกโจมตีโลกอีกครั้ง โดยครั้งนี้พวกเขามีแผนที่จะใช้ ทิ้งลูน่าที่ 5 ซึ่งเป็นสถานีอวกาศที่เคยใช้ในการสร้างโคโลนี่เมื่อครั้งมนุษย์เริ่มออกเดินทางสู่อวกาศ, ลงสู่บนพื่นโลกซึ่งเป็นฐานทัพของกองทัพโลกซึ่งตั้งอยู่ ณ ทิเบต เมืองลาซา ทำให้หน่วยลอนโด เบลล์ กองกำลังอิสระภายใต้สังกัดกองทัพโลก ซึ่งมี อามุโร่ เรย์ ศัตรูคู่แค้นของชาร์ในสงครามหนึ่งปี ชายผู้นำชัยชนะมาสู่กองทัพโลก ซึ่งรับรู้ถึงแผนการอันชั่วร้ายของชาห์ ดังนั้นอามุโร่จึงต้องร่วมมือกับ ไบรท์ โนอา อดีตกัปตันไวท์เบสเมื่อครั้งสงครามหนึ่งปี ในการที่จะหยุดการกระทำครั้งนี้ รวมไปถึงการตัดสินขั้นเด็ดขาดกับชาร์อีกด้วย

ตัวละครหลัก

ฝ่ายโลก
- อามุโร่ เรย์
- ไบรท์ โนอา
- เชน อากิ
- ฮัตซาเวย์ โนอา
ฝ่ายนีโอซีออน
- ชาร์ อัสนาเบิ้ล
- เควส ปาราย่า
- กิวเน่ กัส
- นาไน มิเกล
พลเรือน
- แฮทธาเวย์ โนอา

โมบิลสูทที่สำคัญในภาคนี้

- MSN-04 ซาซาบี (Sazabi)
โมบิลสูทประจำตัว ชาร์ อัสนาเบิ้ลในภาคนี้เป็นโมบิลสูทตัวแรกในจักรวาล UC ที่ติดตั้งระบบไซโคเฟรม ระบบที่ช่วยให้นิวไทป์ขับโมบิลสูทได้ดียิ่งขึ้น จึงทำให้ซาซาบีนั้นสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วกว่าหุ่นตัวอื่นในยุคเดียวกัน(และรักษาภาพลักษณ์ของชาร์ ที่มีฉายาว่า ดาวหางสีแดง) ทั้งยังสามารถใช้ฟันเนลได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
อาวุธของซาซาบี ประกอบไปด้วย ฟันเนล 3 คู่ , บีมชอร์ต-ไรเฟิล ปืนสองลำกล้องที่ยิงได้ทั้งแบบไรเฟิลปกติและแบบกระสุนปรายอย่างลูกซอง , ปืนใหญ่มหาอนุภาคที่ติดตั้งไว้บริเวณเอวซึ่งสามารถจัดการศัตรูได้เป็นจำนวนมากภายในการยิงหนึ่งครั้ง และ บีมโทมาฮอคซอร์ดทีใช้เป็นอาวุธระยะประชิดสองเล่ม
- RX-93 นิว กันดั้ม (Nu-Gundam)
โมบิลสูทของอามุโร่ เรย์ ที่ปรากฏออกมาในช่วงกลางของเรื่อง มีลักษณะพิเศษเช่นเดียวกับซาซาบีคือติดตั้งระบบไซโคเฟรมไว้เช่นกัน (ซึ่งในช่วงท้ายสุด ระหว่างการประจันหน้าบนแอกซิสที่กำลังตกลงมา ชาร์จะสารภาพกับอามุโร่ว่าตนเป็นผู้แอบมอบไซโคเฟรมให้อามุโร่ เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้คู่แข่งของเขาใช้หุ่นดั้งเดิมที่มีประสิทธิภาพต่างจากซาซาบีมากเกินไป) จึงทำให้เครื่องยนต์ของนิวกันดั้มมีความคล่องแคล่วสูสีกับซาซาบี
สำหรับอาวุธของนิวกันดั้มนั้นประกอบไปด้วยอุปกรณ์พื้นฐานอย่าง บีมไรเฟิล , บีมเซเบอร์ , บาซูก้า , โล่ซึงติดตั้งบีมแคนน่อนและมิซไซล์อีกสี่ลูก แต่จุดที่ทำให้นิวกันดั้มโดนเด่นกว่าหุ่นตัวอื่นๆนั่นก็คือ ฟิน ฟันเนล จำนวนหกชิ้นที่ติดตั้งไว้ที่หลัง ความแตกต่างของมันกับฟันเนลทั่วไปนั้นอยู่ตรงที่ ฟิน ฟันเนล จะมีเครื่องกำเนิดพลังงานภายในตัว จึงไม่จำเป็นต้องกลับไปชาร์จพลังงานจากหุ่นตัวแม่ที่ปล่อยมันออกมา รวมไปทั้งฟิน ฟันเนลแต่ละชิ้นสามารถทำความรุนแรงได้ใกล้เคียงกับปืนใหญ่ของยานแม่ นอกจากนี้ฟิน ฟันเนลยังสามารถสร้าง บีมบาเรีย ที่สามารถป้องกันการโจมตีหรือใช้กักขังศัตรูไว้ให้อยู่ในอาณาเขตของบาเรียอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โมบิลสูทกันดั้มดับเบิ้ลเซต้า



กันดั้มดับเบิ้ลเซต้า (ญี่ปุ่น: 機動戦士ガンダムZZ คิโดเซนชิ กันดั้มดับเบิ้ลเซต้า ;อังกฤษ: Mobile Suit Gundam Double Zeta) เป็นโมบิลซูทกันดั้มที่สร้างต่อจากภาคเซต้า ซึ่งเนื้อเรื่องนั้นเป็นเรื่องราวหลังจากที่หน่วยไทแทนส์ได้ล่มสลายลงในสงครามกริปส์วอร์เนื่องจากการที่เสียผู้บัญชาการสูงสุด แปปติมุส ซิร็อกโก้ ไปนั้น แต่ว่าจากผลกระทบของสงครามในครั้งนี้ทำให้ คามิล บิดัน เอสของเอวโก้กองกำลังต่อต้านไทแทนส์นั้นก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ อันเป็นเพราะผลที่เนื่องมาจากพลังนิวไทป์ของในช่วงสุดท้ายที่ แปปติมุส ซีร็อกโก้ได้ใช้ก่อนที่ตัวเองจะตายนั้น ในการขับเขี้ยวกันในการต่อสู้ของทั้งสองคน ซึ่งหลังจากศึกครั้งนั้นเอวโก้ก็เสียหายเป็นอย่างมากจึงต้องซ่อมแซมที่โคโลนี่ไซด์วัน

เนื้อเรื่องย่อ

เป็นความต่อเนื่องของ Mobile Suit Zeta Gundam, ชุดนี้อีกครั้งหนึ่งต่อไปนี้เรื่องของ Anti Earth Union Group (AEUG) เรือรบ Argama หลังจากตอนสุดท้าย Mobile Suit Zeta Gundam ของ เพื่อต่อสู้กับแกนซีออนตอนนี้เรียกว่านีโอซีออน Captain Bright โนอากลุ่มของนักสะสมขยะวัยรุ่นนำโดยคุยโว แต่มีประสิทธิภาพ Newtype Judau Ashta เพื่อนำร่อง Argama ที่เหมาะสมกับหุ่นยนต์ ตอนนี้กีฬาของ behemoth ZZ Gundam และกลับ Zeta Gundam, Gundam Mk - II และ Hyaku ชิกิกลุ่มคือฉายาทีมกันดั้ม เป็นเช่นนี้เป็นครั้งแรกจำนวนชุดกันดั้มซึ่งทีมกันดั้มต่อสู้พร้อมกับหุ่นยนต์อื่นๆกันเป็นประจำ จุดสำคัญเกิดขึ้นที่ 3 ข้างใน Battle of Axis
ตัวละครสำคัญ Mobile Suit Zeta Gundam, กัปตันไบรท์โนอาและแกนผู้นำฮามานน์มีคุณลักษณะเด่นชัดในกันดั้ม ZZ; Hayato Kobayashi, Kamille Bidan, Fa Yuiry, Wong Lee, Yazan Glable, Mineva ลาว Zabi และเด็ก Shinta และ Qum จะแนะนำในตอนต่างๆเช่น; Sayla มวลที่มีปรากฏในชุดแรก แต่ก็ไม่มีบทบาทการพูดใน Mobile Suit Zeta Gundam ยังปรากฏในตอนต่างๆของกันดั้ม ZZ; ลักษณะการวางแผน Char Aznable ของถูกยกเลิกเมื่อ Tomino ได้รับไป - ก่อนที่จะทำกันดั้ม : ชาโต้หนังของ แผนเดิม Yoshiyuki Tomino สำหรับการแสดงที่เกี่ยวข้องกลับ Char ของไม่เคยพบว่าการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน Glemy ในแรงจูงใจดูเหมือนพูดเป็นนัยว่าเขาเติมเขาในที่สุดมิได้ Tomino เองจำได้ ด้วยนอกเหนือจากเปิดและปะยางรถเรื่องราวตอนตัวอย่าง / Amuro Ray ไม่ให้ปรากฏในชุดใด


เพลงเปิด-ปิด โมบิลสูทกันดั้มดับเบิ้ลเซต้า
เพลงเปิด
- "Anime Ja Nai ~Yume o Wasureta Furui Chikyūjin yo~" (アニメじゃない〜夢を忘れた古い地球人よ〜, "It's Not Anime (Forgotten Dreams of the Old Earthlings")) by Masato Arai (episodes 1–25)
- "Silent Voice" (サイレントヴォイス, Sairento Voisu) by Jun Hiroe (episodes 26–47)
เพลงปิด
- "Jidai ga Naiteiru" (時代が泣いている?, "The Era is Crying") by Masato Arai (episodes 1–25)
- "Issenman-Nen Ginga" (一千万年銀河, "Ten Million Years Galaxy") by Jun Hiroe (episodes 26–47)

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โมบิลสูทเซต้ากันดั้ม

MSZ-006 เซต้ากันดั้ม (ญี่ปุ่น: Ζ ガンダム;อังกฤษ:Z Gundam)เป็นโมบิลสูทตัวเอกเครื่องที่สองของการ์ตูนญี่ปุ่น อะนิเมะซีรีส์โมบิลสูทเซต้ากันดั้มและมีบทบาทสำคัญต่อมาในโมบิลสูทกันดั้มดับเบิ้ลเซต้า ออกแบบโดยคาซุมิ ฟุจิตะ คำว่าเซต้าในชื่อเซต้ากันดั้มมาจากอักษรกรีก(ζ) ซีต้า
เนื้อเรื่อง
เซต้ากันดั้มเป็นโมบิลสูทสำคัญที่พัฒนาโดยบริษัทแอนาไฮม์อิเล็กทรอนิกตามโครงการโปรเจกต์เซต้าเพื่อพัฒนาโมบิลสูทที่สามารถแปลงร่างได้ ในช่วงแรกของการพัฒนาเซต้ากันดั้มนั้นประสพปัญหาสำคัญที่โครงสร้างซึ่งใช้กับโมบิลสูทโดยทั่วไปนั้นไม่สามารถใช้การได้ จนกระทั่งได้โครงสร้างแบบมูฟเอเบิ้ลเฟรมของกันดั้มมาร์คทูว์มาศึกษา ซึ่งในขณะนั้นคามิว บีดันนักบินของกลุ่มต่อต้านสหพันธ์โลกซึ่งเป็นอดีตผู้ชนะการแข่งขันออกแบบจูเนียร์โมบิลสูทได้ออกแบบเซต้ากันดั้มไว้เป็นโมบิลสูทในจินตนาการ แต่อัสโตนาจิ เมดอสโซ วิศวกรประจำยานอากาม่าได้นำมาปรับปรุงแล้วส่งไปให้แอนาไฮม์อิเล็กทรอนิกพิจารณาและกลายเป็นรูปแบบของเซต้ากันดั้มที่สมบูรณ์
เซต้ากันดั้มมีไบโอเซ็นเซอร์ที่เป็นระบบไซคอมมิวขนาดเล็กทำให้นักบินที่เป็นนิวไทป์สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เซต้ากันดั้มสามารถแปลงร่างเป็นยานเวฟไรเดอร์เพื่อเร่งความเร็วและสามารถบินในชั้นบรรยากาศโลกได้ ซึ่งเกราะด้านหลังของเซต้ากันดั้มจะเป็นพลังก์อาร์เมอร์สำหรับกันความร้อนขณะการเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกในร่างเวฟไรเดอร์ ดาบบีมเซเบอร์ของเซต้ากันดั้มจะเก็บไว้ที่เอวและสามารถใช้ยิงเป็นบีมกันในร่างเวฟไรเดอร์ได้ ที่แขนของเซต้ากันดั้มติดตั้งเกรเน็ดลันเชอร์สองลำกล้อง และสามารถใช้งานไฮเปอร์เมก้าลันเชอร์ซึ่งเป็นบีมลันเชอร์อานุภาพสูงซึ่งพัฒนามาจากเมก้าบาซูก้าลันเชอร์ของเฮียะกุชิกิให้มีขนาดเล็กลงและใช้งานได้ง่ายขึ้น ส่วนปลายของไฮเปอร์เมก้าลันเชอร์ติดบีมเซเบอร์ไว้จึงสามารถใช้เป็นเหมือนดาบยาวได้ บีมไรเฟิลของเซต้ากันดั้มก็สามารถใช้เป็นบีมเซเบอร์ได้
เซต้ากันดั้มได้รับการประจำการบนยานอากาม่าโดยเป็นโมบิลสูทประจำตัวของคามิว บีดันตลอดช่วงศึกกรีปส์ ในช่วงสงครามนีโอซีอ้อนครั้งที่หนึ่งซึ่งคามิวอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถควบคุมโมบิลสูทได้อีก เซต้ากันดั้มซึ่งยังประจำการบนยานอากาม่าได้เป็นโมบิลสูทของนักบินรุ่นใหม่ คือจูโด้ อาชิตะและต่อมาได้เปลี่ยนไปให้ลู ลูก้า
แซดพลัสซีรีส์
โมบิลสูทแบบแปลงร่างได้ซึ่งพัฒนาต่อมาจากเซต้ากันดั้มซึ่งมีบทบาทสำคัญในนิยายกันดั้มเซนติเนลและนับเป็นรุ่นผลิตจำนวนจำกัดของเซต้ากันดั้ม แซดพลัสซีรีส์ได้รับการออกแบบโดยฮาจิเมะ คาโทกิ
แซดพลัสยังใช้โครงสร้างหลักที่ใกล้เคียงกับเซต้ากันดั้ม แต่ไม่มีไบโอเซนเซอร์และพลังก์อาเมอร์เพื่อใช้ลดค่าใช้จ่ายในการผลิต อาวุธของแซดพลัสส่วนใหญ่จะประกอบด้วยบีมเซเบอร์ ปืนวัลแคนและบีมแคนน่อนติดเอวสองกระบอก แซดพลัสนั้นมีการผลิตเป็นรุ่นต่างๆกันตามการใช้งาน ซึ่งรุ่นต่างๆประกอบด้วย
- MSZ-006A1 แซดพลัสเอ1 แซดพลัสสำหรับใช้งานบนโลกโดยผลิตเป็นจำนวนจำกัดให้นักบินของกลุ่มคาราบาใช้งาน ในหนังสือ Model Graphix Gundam WARS III: Gundam Sentinel มีแซดพลัสซึ่งทาสีแดงและขาวซึ่งใช้รหัส MSK-006 พร้อมระบุว่าเป็นโมบิลสูทประจำตัวของอามุโร่ เรย์ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าอามุโร่เคยเป็นนักบินของแซดพลัสเอ1จริงหรือเป็นเพียงแผนการโฆษณาของแอนาไฮม์อิเล็กทรอนิกเท่านั้น ใน Gundam WARS IIIยังมี MSZ-006A1B ซึ่งเป็นแซดพลัสA1ที่ไม่สามารถแปลงร่างได้เพื่อใช้งานในโหมดเวฟไรเดอร์เท่านั้น
- MSZ-006A2 แซดพลัสเอ2 ดัดแปลงมาจากรุ่นเอ1โดยติดตั้งปืนไฮเมก้าแคนน่อนเพื่อเก็บข้อมูลมาพัฒนาต่อ มีการดัดแปลงแซดพลัสเอ2เป็นจำนวนหกเครื่อง แต่ถูกทำลายในการต่อสู้เสียสามเครื่อง
- MSZ-006B แซดพลัสบี เป็นแซดพลัสที่ใช้ห้องควบคุมแบบสองที่นั่งสำหรับให้นักบินที่ไม่คุ้นกับโมบิลสูทแบบแปลงร่างได้ใช้ฝึกซ้อม ลักษณะอื่นๆโดยรวมจะคล้ายกับแบบเอ1 ใน Gundam WARS IIIยังมี MSZ-006BN ซึ่งเสริมประสิทธิภาพของเซนเซอร์และมีส่วนปีกที่กว้างกว่าเดิมเพื่อเพิ่มความสามารถในการต่อสู้กลางอากาศและสามารถปฏิบัติการในระดับความสูงที่ต่ำเพื่อโจมตีภาคพื้นดินได้ดี
- MSZ-006C1 แซดพลัสซี1 แซดพลัสแบบใช้งานในอวกาศโดยผลิตเป็นจำนวนจำกัดให้สหพันธ์โลก แบ็คแพ็คด้านหลังมีท่อขับดันเสริมสี่จุด นอกจากอาวุธมาตรฐานของแบบเอ1แล้ว แซดพลัสซี1ยังสามารถติดตั้งปืนบีมสมาร์ทกันซึ่งเป็นบีมแคนน่อนอานุภาพสูงที่มีเซนเซอร์เล็งอัตโนมัติ แซดพลัสซี1ทั้งหมดของสหพันธ์โลกถูกใช้ในการต่อสู้กับกลุ่มนิวดีไซด์ ใน Gundam WARS IIIยังมี MSZ-006C1[Bst] แซดพลัส "ฮัมมิงเบิร์ด" ซึ่งเป็นแซดพลัสซี1ที่ติดตั้งบูสเตอร์ขนาดใหญ่และถังเชื้อเพลิงเพื่อเร่งความเร็ว รวมถึงได้ติดตั้งอาวุธเพิ่มเติม
- MSZ-006C4 แซดพลัสซี4 แซดพลัสที่เน้นการใช้งานในโหมดเวฟไรเดอร์ โดยเฉพาะการใช้งานในเขตบรรยากาศชั้นสูงและในอวกาศใกล้กับชั้นบรรยากาศ ออกแบบให้ลดแรงเสียดทานและแรงกระแทกที่เกิดขึ้นระหว่างชั้นบรรยากาศ บีมแคนน่อนที่เอวถูกถอดออกไปติดไว้ที่โล่ซึ่งเป็นส่วนหัวของร่างเวฟไรเดอร์แทน
- MSZ-006D แซดพลัสดี แซดพลัสที่เน้นการใช้งานในโหมดเวฟไรเดอร์ ได้รับการเสริมวิงก์ไบน์เดอร์เพื่อเพิ่มสมรรถนะและแบ็คแพ็คได้เสริมเครื่องยนต์ถึงสองเครื่อง ชิ้นส่วนทั้งหมดมีการปรับแต่งเพื่อลดแรงเสียดทานของอากาศ ระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมรวมถึงระบบควบคุมอาวุธและการบินได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ เนื่องจากเป็นโมบิลสูทที่มีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสูงพอๆกับเซต้ากันดั้มจึงไม่มีการผลิตใช้งานแต่ใช้เพื่อโฆษณาบริษัทแอนาไฮม์อิเล็กทรอนิกเท่านั้น
- MSZ-006R แซดพลัสอาร์ แซดพลัสที่ใช้ทดสอบระบบอาวุธแบ็คเวพอนซิสเต็มของ RGZ-91 รีกัซซี่จึงมีรหัสอีกชุดว่า RGZ-006
แซดทูว์
โมบิลสูทแบบแปลงร่างได้ที่พัฒนาต่อมาจากเซต้ากันดั้มเพื่อเน้นการใช้งานในอวกาศโดยเฉพาะ โครงสร้างของแซดทูว์เปลี่ยนจากแบบเซต้ากันดั้มไปเป็นแบบ MSA-005 เมธัสและไม่มีไบโอเซนเซอร์เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ร่างโมบิลอาเมอร์ของแซดทูว์ไม่สามารถบินในบรรยากาศโลกได้จึงไม่มีพลังก์อาเมอร์สำหรับใช้ป้องกันความร้อนขณะเข้าสู่บรรยากาศโลก แต่มีความเร็วที่สูงกว่าโหมดเวฟไรเดอร์ของเซต้ากันดั้มเมื่อใช้ในอวกาศ ปืนเมก้าบีมไรเฟิลซึ่งเป็นอาวุธหลักของแซดทูว์มีอานุภาพใกล้เคียงกับไฮเปอร์เมก้าลันเชอร์ของเซต้ากันดั้ม แอนาไฮม์อิเล็กทรอนิกได้เสนอขายแซดทูว์ให้กับกลุ่มต่อต้านสหพันธ์โลกพร้อมกับ MSZ-010 ดับเบิ้ลเซต้ากันดั้ม แต่ถูกปฏิเสธไม่ซื้อจึงไม่มีการสร้างใช้งาน
แซดทูว์เป็นส่วนหนึ่งของดีไซน์ต้นฉบับ เซต้ากันดั้ม โมบิลสูทวาริเอชั่น ออกแบบโดย คาซุมิ ฟุจิตะ

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โมบิลสูทกันดั้ม


โมบิลซูทกันดั้ม การ์ตูนญี่ปุ่นในลักษณะอะนิเมะซึ่งผลิตโดยบริษัทซันไรส์ ซึ่งถือว่าเป็นอะนิเมะที่เป็นต้นกำเนิดหุ่นยนต์ประเภทรีลโรบ็อตและมีอิทธิผลต่อวงการอะนิเมะเป็นอย่างมากในปัจจุบันนี้ ออกอากาศครั้งแรกในญี่ปุ่น ทุกวันเสาร์ 17:30 - 18:30 วันที่ 7 เดือน4 ปี1979 จนถึง 26 เดือน 1 ปี 1980 รวมทั้งสิ้น 43ตอน ผลงานของ โยชิยูกิ โทมิโนะ (Yoshiyuki Tomino)



เนื้อเรื่อง
ปีศักราชอวกาศ 0079 สงครามระหว่างเอิร์ธนอยด์กับสเปซนอยด์ที่เกิดขึ้นจากการปลดแอกของชาวโคโลนีไซด์ 3 ซึ่งใช้ชื่อว่า ซีออน กองทัพโลกหรือทางกองทัพสหพันธ์ซึ่งเสียเปรียบอยู่เนื่องจากทางซีออนได้คิดอาวุธรุ่นใหม่ขึ้นมา อาวุธที่มีรูปแบบมาจากมนุษย์เรียกว่าโมบิลสูททำให้ทางซีออน นั้นได้เปรียบทางสหพันธ์โลกเป็นอย่างมากในยุทธศาสตร์ทางสงคราม ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่าอนุภาคไมนอฟสกี้ ที่ทำให้สงครามนั้นยืดเยื้อขึ้น และที่สุดกองทัพโลกก็ได้คิดค้น โมบิลสูท รุ่นใหม่ขึ้นซึ่งเรียกว่า กันดั้ม... บทเริ่มต้นจุดจบของของสงคราม1ปี
อามุโร่ เรย์ เด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ในไซด์ 7 ได้ขึ้นบังคับกันดั้ม [RX-78-2] ในครั้งที่ซีออนบุกมาโจมคีไซด์7 ทั้งที่ขึ้นขับเป็นครั้งแรก ก็สามารถทำลายแซค[zaku] ของซีออนได้ถึง2เครื่อง หลังจากนั้นอามุโร่ก็ได้เข้าประจำการ และเป็นกำลังสำคัญให้กับกองทัพโลก ทางซีออนเองก็มีชาร์ อัสนาเบิลฉายาดาวหางสีแดง เป็นกำลังสำคัญเช่นกัน ในตอนท้ายของสงคราม ราร่า คนรักของชาร์ และหญิงที่อามุโร่หลงรัก ได้ยอมสละชีวิตตนเพื่อช่วยชาร์จากการโจมตีของอามุโร่ ทำให้ทั้งชาร์ และ อามุโร่ กลายเป็นคู่แค้นกันตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา สุดท้ายแล้วสหพันโลกก็สามารถเอาชนะสงตราม1ปีได้ ชาร์หายสาบสูญ อามุโร่ยังคงเป็นทหารของกองทัพต่อไป

ตัวละครสำคัญ
ฝ่ายกองทัพสหพันธ์
อามุโร่ เรย์
ฟลาว โบว์
ไบรท์ โนอา
ไค ชิเด็น

ฮายาโตะ โคบายาชิ
ริว โฮเซ่
เซร่า มาส
นายพล เรวิล
ฮาโล่
เทม เรย์
มิไร ยาชิมะ
เปาโล แคสซิอุส
สเลกเกอร์
ฝ่ายซีออน
ชาร์ อัสนาเบิ้ล
เดกิน โซโด ซาบี้
กิเลน ซาบี้
โดเซิ่ล ซาบี้

กีซีเรีย ซาบี้
กัลม่า ซาบี้
รัมบะ ราล
สามดาวดำ (ไกอา มาร์ช โอลเตก้า)
คราวเลย์ ฮามอน
ลาล่า ชุน
ชาเรีย บลู
มา คุเบ

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โมบิลสูท


โมบิลสูท (ญี่ปุ่น:モビルスーツ ;อังกฤษ:Mobile Suit มีคำย่อว่า MS) เป็นกลุ่มของหุ่นยนต์อาวุธรูปร่างคล้ายมนุษย์ขนาดใหญ่ในซีรี่ส์กันดั้ม ชื่อโมบิลสูทเชื่อว่าได้รับอิทธิพลจาก โมบิลอินแฟนทรี และ พาวเวิร์ดสูท ในนิยายวิทยาศาสตร์ สตาร์ชิปทรูเปอร์ของโรเบิร์ต เอ. ไฮน์ไลน์

ศักราช Universal Century
ชื่อ Mobile Suit เป็นคำย่อของ Mobile Space Utility Instrument Tatical โมบิลสูทได้รับการพัฒนาโดยบริษัทซีโอนิคเพื่อเป็นอาวุธหลังการพัฒนาเตาปฏิกรณ์ฟิวชั่นไมนอฟสกี้ ซึ่งนอกจากจะเป็นเตาปฏิกรณ์ที่มีขนาดเล็กแล้วยังสามารถกระจายอนุภาคไมนอฟสกี้ซึ่งสามารถรบกวนคลื่นวิทยุรวมทั้งเรดาร์ได้ แขนและขาของโมบิลสูทยังช่วยในการปรับทิศทางในสภาพไร้น้ำหนักด้วยระบบ AMBAC (Active Mass Balance Auto Control) ซึ่งทำให้โมบิลสูทสามารถปรับทิศทางในอวกาศได้โดยการขยับแขนขาเท่านั้น จึงไม่ต้องสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสำหรับท่อขับดันในการปรับทิศทาง โมบิลสูทที่สมบูรณ์เครื่องแรกก็คือ ZI-XA3 ของบริษัทซีโอนิค ซึ่งต่อมาได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น MS-01 ส่วนโมบิลสูทรุ่นแรกที่ใช้การต่อสู้จริงก็คือ MS-05B ซาคุวัน
ในช่วงสงครามหนึ่งปีซึ่งเป็นสงครามที่มีการใช้งานโมบิลสูทอย่างเต็มรูปแบบครั้งแรกนั้นยังคงมีการใช้งานอาวุธอื่นๆ เช่น เครื่องบินและรถถัง ควบคู่ไปกับโมบิลสูทอย่างกว้างขวาง แต่เมื่อวิทยาการของโมบิลสูทก้าวหน้าขึ้น โมบิลสูทก็กลายเป็นอาวุธหลักในสงครามโดยสมบูรณ์ ในขณะที่อาวุธอื่นๆถูกลดบทบาทลงมาเป็นเพียงกำลังสนับสนุนเท่านั้น ตั้งแต่ช่วงของศึกกรีปส์ โมบิลสูทบางรุ่นยังมีความสามารถในการแปลงร่างเพื่อใช้งานในภารกิจที่ไม่เหมาะสมกับรูปร่างแบบมนุษย์ได้
ในเนื้อเรื่องของภาคจีเซเวอร์ ได้มีการพัฒนาโมบิลสูทแบบไร้คนบังคับเรียกว่าโมบิลเวพอน (Mobile Weapon) และในภาคไกอาเกียร์นั้นโมบิลสูทได้พัฒนาไปเป็นแมนมาชีน (Man Machine)แทน

ศักราช Future Century
โมบิลสูทในศักราช Future Century เป็นเครื่องจักรซึ่งมีการใช้งานอย่างแพร่หลายรวมถึงการใช้งานด้านพลเรือน บทบาทของโมบิลสูทในภาคจีกันดั้มจะเป็นตัวประกอบในเนื้อเรื่อง โดยมีโมบิลไฟเตอร์เป็นหุ่นตัวเอกแทน

ศักราช After Colony
โมบิลสูทในศักราช After Colony นั้นเดิมทีเป็นเครื่องจักรสำหรับใช้ในงานก่อสร้าง จึงแตกต่างจากโมบิลสูทในศักราช Universal Century ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการทหารตั้งแต่แรก โมบิลสูทเครื่องแรกที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการสู้รบก็คือ OZ-00MS ทอลกีส ชื่อMobile Suit ย่อมาจาก Manipulative Order Build and Industrial Labors Extended Suit ในภายหลังยังมีการพัฒนาโมบิลสูทแบบไร้คนบังคับ เรียกว่าโมบิลดอล (Mobile Doll ย่อมาจาก Mobile Direct Opertional Leaded Labor)

ศักราช After War
โมบิลสูทในศักราช After War เป็นกำลังหลักของสหพันธ์โลกและกองกำลังปฏิวัติอวกาศในช่วงสงครามอวกาศครั้งที่ 7 ซึ่งหลังจากที่โลกตกอยู่ในสภาพหลังหายนะจากการทิ้งโคโลนีลงบนโลกอย่างต่อเนื่องก็ได้มีโมบิลสูทจำนวนมากถูกทิ้งไว้บนโลกและถูกพลเรือนยึดมาใช้งาน นอกจากโมบิลสูทรุ่นเก่าแล้ว สหพันธ์โลกซึ่งก่อตั้งขึ้นใหม่และกองกำลังปฏิวัติอวกาศก็ยังคงมีการพัฒนาโมบิลสูทต่อมา

ศักราช Current Century
เนื่องจากวิทยาการของโลกในศักราช Current Century สามารถเทียบได้กับยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จึงไม่มีการผลิตโมบิลสูทบนโลก แต่ในพื้นที่ซึ่งเรียกว่า เมาเทนไซเคิล นั้นสามารถขุดพบโมบิลสูทและอาวุธอื่นๆจากยุคสมัยที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์มืด ได้ เช่น โมบิลสูท SYSTEM ∀-99 เทิร์นเอกันดั้ม ถูกพบซ่อนอยู่ในรูปปั้นขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ไวท์ดอล ส่วนชาวจันทรายังคงมีวิทยาการจากอดีตจึงสามารถสร้างโมบิลสูทได้ด้วยตัวเอง

ศักราช Cosmic Era
โมบิลสูทในศักราช Cosmic Era ได้รับการพัฒนาจากเครื่องจักรสำหรับทำงาน พาวเวอร์โหลดเดอร์ โดยโคออร์ดิเนเตอร์ ซึ่งเป็นมนุษย์ที่ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมจนเหนือกว่าคนธรรมดา โมบิลสูทที่ปรากฏในช่วงแรกของศักราช Cosmic Era นั้นมีการควบคุมที่ซับซ้อนมากจึงมีเพียงโคออร์ดิเนเตอร์เท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ ลักษณะสำคัญที่ทำให้โมบิลสูทในยุคนี้แตกต่างจากภาคอื่นๆก็คือการใช้แบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานเพราะยังไม่สามารถพัฒนาเตาปฏิกรณ์ฟิวชั่นได้ เมื่อกองทหารของเหล่าโคออร์ดิเนเตอร์ ซาฟท์ใช้อุปกรณ์ นิวตรอนแจมเมอร์ ซึ่งมีความสามารถในการหยุดการเคลื่อนไหวของอนุภาคนิวตรอนและสามารถหยุดปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้ จึงไม่สามารถใช้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่นที่มีอยู่ได้ โมบิลสูทในศักราช Cosmic Era จึงมีช่วงเวลาที่สามารถปฏิบัติการได้สั้นกว่าโมบิลสูทที่ปรากฏในยุคอื่นมาก โมบิลสูทรุ่นแรกในศักราช Cosmic Era ก็คือ YMF-01B โปรโตจินน์ และโมบิลสูทรุ่นแรกที่ใช้ในการรบจริงก็คือ ZGMF-1017 จินน์ นอกจากโมบิลสูทที่มีรูปร่างแบบมนุษย์แล้ว ศักราช CEยังมีโมบิลสูทที่เป็นรูปแบบของสัตว์สี่เท้าด้วย
ในภายหลัง ปัญหาการควบคุมที่ซับซ้อนได้รับการแก้ไขโดยใช้ระบบปฏิบัติการที่ดัดแปลงจนแม้แต่คนธรรมดาก็สามารถควบคุมโมบิลสูทได้ ซึ่งระบบปฏิบัติการนี้มีที่มาจากระบบปฏิบัติการของGAT-X105 สไตรค์กันดั้มซึ่งได้รับการแก้ไขโดยคิระ ยามาโตะและระบบปฏิบัติการของMBF-P02 กันดั้มแอสเทรย์เรดเฟรมซึ่งพัฒนาโดยอาณาจักรอ็อบ ซาฟท์ยังได้พัฒนา นิวตรอนแจมเมอร์แคนเซลเลอร์ ซึ่งสามารถป้องกันผลกระทบจากนิวตรอนแจมเมอร์ได้ จึงได้มีโมบิลสูทที่ใช้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่นเป็นแหล่งพลังงานออกมา โดยโมบิลสูทเครื่องแรกที่ได้รับการติดตั้งเตาปฏิกรณ์เป็นแหล่งพลังงานก็คือ YMF-X000A เดรดน็อตกันดั้ม

ศักราช Anno Dominic
ในศักราช Anno Dominic หรือคริสต์ศักราชนั้น โมบิลซูทได้ถูกสร้างขึ้นในฐานะของเครื่องกลทำงานแบบ เพาเวอร์โหลดเดอร์ ซึ่งถูกใช้งานหลากหลายอย่าง แต่หลักสำคัญคือถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอาวุธ ซึ่งโมบิลซูทภายในเรื่องจะมีประจำอยู่ในทุกประเทศตามกองทัพและกลุ่มก้อนอำนาจซึ่งจะดีไซส์ที่แตกต่างกันไป ตามระดับของเทคโนโลยีกับกลุ่มประเทศขั้วอำนาจซึ่งพัฒนาขึ้นมา เช่นทางฝั่งตะวันตกดีไซส์ของโมบิลซูทจะมีลักษณะเพรียวและแขนขาเล็กเพื่อความคล่องตัว ในขณะที่ทางฝั่งตะวันออกจะมีดีไซส์โมบิลซูทที่มีโครงร่างใหญ่และเกราะหนาเพื่อความแข็งแกร่งทนทาน พลังงานของโมบิลซูทโดยทั่วไปคาดว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์
่ส่วนโมบิลซูทขององค์กรทางทหารอิสระ Celestial Being หรือกันดั้มนั้น ถือได้ว่าเป็นโมบิลซูทที่มีขีดความสามารถทางเทคโนโลยีที่สูงล้ำเหนือกว่าโมบิลซูทหรืออาวุธใดๆที่เคยปรากฏขึ้นมาในโลก ด้วยส่วนเกราะที่ทำจากวัสดุที่แข็งแกร่งทนทานต่อการทำลาย การเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วเกินกว่าที่ระดับเครื่องกลโดยทั่วไปจะสามารถทำได้ โดยใช้พลังงานจาก GN Drive ซึ่งเป็นเตาพลังงานแบบพิเศษที่ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นที่ดาวพฤหัส(คาดว่าจำเป็นจะต้องใช้ธาตุไอโซโทปบางอย่างที่มีจำนวนมากที่ดาวพฤหัส) มีคุณสมบัติในการรับเอาพลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อสร้างอนุภาคที่เรียกว่า "GN" ที่มีสีเขียวอมฟ้า และมีคุณสมบัติสร้างพลังงานได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดและทำให้สสารที่ถูกห่อหุ้มด้วยอนุภาคนี้อยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักสามารถลอยตัวอยู่ได้แม้จะอยู่ในชั้นบรรยากาศ รวมทั้งรบกวนสัญญาณของอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด
และต่อมาได้มีการปรากฏของโมบิลซูทซึ่งใช้ GN Drive Tau ที่เป็นเตาพลังงานที่ปล่อยอนุภาคสีแดงอมดำ ซึ่งสร้างอนุภาค GN ที่มีคุณสมบัติแบบเดียวกันกับ GN Drive แบบปกติ แต่มีอายุการใช้งานน้อยกว่าแบบปกติ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นเตาพลังงานเลียนแบบ